เมอร์เซเดส–เบนซ์ ประเทศไทย เผยแผนธุรกิจปี 2566 ภายใต้วิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” เติมเต็ม EV Portfolio ในไทยอีก 3 รุ่น ประเดิมนำเข้า EQB 250 AMG Lineเปิดราคา 3.02 ล้าน
แบรนด์ Mercedes-EQ โตขึ้น 124% เอสยูวีรุ่น EQA และ EQB มาแรงในตลาดโลก
ผ่านแผนการดำเนินธุรกิจ ตลอดปี 2566
บริษัท เมอร์เซเดส–เบนซ์ (ประเทศไทย) แถลงผลการดำเนินงานในปี 2565 พร้อมแสดงวิสัยทัศน์และแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 โดยในระดับโลก เมอร์เซเดส–เบนซ์ มีอัตราการเติบโตของยอดขายกว่า15% จากปีที่ผ่านมา กวาดยอดขายรถในกลุ่ม Passenger Cars กว่า 2,043,900 คัน ทั่วโลก พร้อมโชว์ตัวเลขการเติบโตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ที่สูงถึง 124% ด้วยยอดขายกว่า 117,800 คัน โดยมีรุ่นที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆ อย่าง EQA และ EQB ในด้านของเมอร์เซเดส–เบนซ์ ประเทศไทย เติบโตถึง 34% ด้วยยอดจดทะเบียนสะสม 13,182 คัน ในปีที่ผ่านมา ยอดขายรถในเซกเมนต์ Dream Cars โตขึ้น 28% จากยอดขาย CLS และ C-Coupe ยอดขายรถ SUV เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนรถเซกเมนต์ Contemporary Luxury อย่าง The new C-Class E-Class และ S-Class โตขึ้น 12% ตามด้วยรถ Top-end Luxury อย่าง Mercedes-Maybach ตัวเลขยอดขายโตขึ้นกว่า 3 เท่าจากปีที่ผ่านมา
ภายใต้การนำของประธานบริหารคนใหม่ของเมอร์เซเดส–เบนซ์ ประเทศไทย “มร. มาร์ทิน ชเวงค์” ที่ได้มีการประกาศวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” กับความมุ่งมั่นในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยซึ่งสะท้อนผ่านแผนการดำเนินธุรกิจ ทั้งการให้ความสำคัญเกี่ยวกับแผนงาน ด้านความยั่งยืน (Sustainability) การนำเสนอรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า (Electrification) การนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัย (Technology and Innovation) และการมอบประสบการณ์แบบลักชัวรี่ (Luxury Experience) ตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส–เบนซ์ โดยไฮไลท์สำคัญของปีนี้ คือการเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ลงตลาดประเทศไทยทั้งหมด 3 รุ่น เริ่มด้วย EQB 250 AMG Line รถเอสยูวีไฟฟ้า 5 ที่นั่ง ที่ผสานความหรูหราและความสะดวกสบายในทุกมิติ ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย พร้อมเดินทางในทุกเส้นทางด้วยการขับขี่ที่ไร้มลพิษ (Zero-emission) ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่แรงดันสูง วิ่งได้ไกลถึง 460 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ผลิตและนำเข้าแบบ CBU พร้อมเปิดราคาจำหน่ายที่ 3,020,000 บาท
มร. มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า
“ในปี 2565 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่เมอร์เซเดส–เบนซ์ ประสบความสำเร็จทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยในปีนี้ เมอร์เซเดส–เบนซ์ ประเทศไทย จะเดินหน้าด้วยวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” ที่สะท้อนผ่านแผนการดำเนินธุรกิจในทุกมิติ ทั้งในเรื่องของความยั่งยืน (Sustainability) สู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2582 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายความยั่งยืนของประเทศไทยที่ตั้งเป้าหมายเป็นประเทศที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 รวมถึงนโยบาย 30@30 ของบอร์ดอีวี ที่จะขยายสัดส่วนของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศให้เป็น 30% ภายในปี 2572 ทางเมอร์เซเดส–เบนซ์เองก็ตั้งเป้าหมายในการทำให้รถทุกรุ่นที่อยู่ในพอร์ตของเรา เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายในปี 2572 เช่นกัน
และสิ่งสำคัญในการทำให้เราบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน คือการนำเสนอรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า (Electrification) ให้กับผู้บริโภค ในระดับโลก เราได้นำเสนอ VISION EQXX รถยนต์ต้นแบบพลังงานไฟฟ้า 100% ที่ผ่านการทดสอบการขับขี่ในสภาพแวดล้อมจริง ด้วยระยะทางมากกว่า 1,000 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มเพียงหนึ่งครั้ง สะท้อนให้เห็นว่าเราได้นำยนตรกรรมแห่งอนาคตมานำเสนอให้ทุกคนแล้วในวันนี้ โดยในประเทศไทย เรามีการเปิดตัว EQS 500 4MATIC AMG Premium ที่ถือเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่มีระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้ามากที่สุดในประเทศไทย ด้วยระยะทางกว่า 702 กิโลเมตร ต่อจากชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP ซึ่งผู้บริโภคชาวไทยทุกคนสามารถเป็นเจ้าของยนตรกรรมระดับโลกนี้ได้ที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส–เบนซ์ อย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ เรายังได้เปิดตัวยนตกรรมในรูปแบบปลั๊กอินไฮบริด อย่าง C 350 e AMG Dynamic ที่เป็นรถPHEV ในระดับลักชัวรี่ ที่วิ่งได้ไกลที่สุดในประเทศไทย ด้วยระยะทางเกินกว่า 100 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง
และในปีนี้เราได้วางแผนในการขยาย EV Portfolio ในประเทศไทย ผ่านการเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ทั้งหมด 3 รุ่น เริ่มด้วย EQB 250 AMG Line หนึ่งในรถภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก รวมถึงการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าผ่านการร่วมมือกับผู้ผลิตและผู้ให้บริการด้านสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าชั้นนำ ในประเทศไทย
เมอร์เซเดส-เบนซ์ มุ่งมั่นในการนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัย (Technology and Innovation) สู่อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย เราพร้อมมอบประสบการณ์ทีเหนือระดับในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็น การนำเสนอนวัตกรรมอย่าง จอแสดงผลแบบ Hyperscreen ระบบ MBUX เจเนเรชั่นใหม่ ระบบไฟหน้า Digital Light แบบ Ultra high range beam ที่ส่องสว่างได้ไกลมากกว่า 600 เมตร และแพ็คเกจระบบช่วยเหลือการขับขี่ (Driving Assistance package) รวมถึงระบบลดวงเลี้ยวรถยนต์ (Rear Axle Steering) และนอกเหนือจากประสบการณ์ที่ทุกคนจะได้สัมผัสผ่านยนตรกรรมของเมอร์เซเดส-เบนซ์แล้ว การมอบประสบการณ์แบบลักชัวรี่ (Luxury Experience) ให้กับลูกค้าก็ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญ โดยเรามีการสร้างการสื่อสารทั้งภายนอกและภายในองค์กร ในการประสานการทำงานเพื่อทำให้มั่นใจได้ว่า คนในองค์กรและพาร์ทเนอร์ของเราจะสามารถมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายและสอดแทรกความเป็นแบรนด์ลักชัวรี่ในทุกมิติ ตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส–เบนซ์ ให้กับลูกค้าคนพิเศษของเราทุกคนอย่างไร้ที่ติ”
มร. บีเยิร์น กุซเทรา รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับการดำเนินธุรกิจ ภายใต้วิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” ทางเมอร์เซเดส–เบนซ์ ประเทศไทย ได้นำมาปรับใช้ในการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดและการสื่อสารในรูปแบบใหม่ เริ่มจากการเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ของการจัดแสดงรถยนต์ในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 โดยในปีนี้เราได้สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการนำเสนอยุคใหม่ของเมอร์เซเดส–เบนซ์ ผ่านการจัดแสดงรถยนต์บนพื้นที่ใหม่ ที่บูธหมายเลข A19 บริเวณฮอล์ 1ของอิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ ซึ่งมีการสร้างการรับรู้ให้สาธารณะผ่านแคมเปญการสื่อสารทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ โดยความพิเศษของบูธเมอร์เซเดส–เบนซ์ในปีนี้ จะถูกออกแบบให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” พร้อมมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับให้กับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมบูธ ตั้งแต่ก้าวแรกที่ก้าวเข้ามาในบูธของเราไปจนถึงขั้นตอนที่ลูกค้าตัดสินใจเป็นเจ้าของยนตกรรรมของเมอร์เซเดส–เบนซ์ นอกจากนี้ ภายในบูธจะถูกแบ่งโซนในการจัดแสดงรถยนต์ ซึ่งมีให้ชมครบทุกรุ่นตั้งแต่รถยนต์ในแบรนด์ Mercedes-Benz ในกลุ่มของรถ ICE และ PHEV รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100%ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ รถยนต์สมรรถนะสูงในกลุ่ม Mercedes-AMG รถยนต์ระดับ Top-End Luxury อย่าง Mercedes-Maybach พร้อมด้วยยนตรกรรมระดับตำนานอย่าง SL และ G-Class ซึ่งคนไทยทุกคนสามารถเป็นเจ้าของได้ในงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 44 หรือที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศไทย”
นายพุทธิ ตุลยธัญ รองประธานบริหาร ฝ่ายบริการลูกค้า บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า “ สำหรับในส่วนงานของฝ่ายบริการลูกค้า เราได้เตรียมพร้อมในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ดิจิตัลใหม่ๆ ใน Mercedes Me Store ที่ลูกค้าสามารถซื้อเพิ่มเติมได้ตามความต้องการเช่น Rear Axle Steering ที่เป็นการลดวงเลี้ยวรถยนต์ เพื่อการควบคุมรถได้ง่ายยิ่งขึ้น Active Distance Assistance Distronic ระบบควบคุมระยะห่างของรถยนต์ขณะขับขี่ หรือ Individualization ที่เป็นการเพิ่มความบันเทิงในรูปแบบเฉพาะตัวไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเลือกบรรยากาศภายในรถทั้งเสียงและภาพที่แสดงบนหน้าจอหรือมินิเกมส์ ซึ่งลูกค้าสามารถเลือกได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ ในปีนี้จะมีการนำเสนอระบบการจ่ายเงินค่าบริการผ่านระบบออนไลน์เพื่อให้ครอบคลุมในทุกสถานะของรถเมื่อนำรถเข้ารับบริการเพิ่มเติมจากบริการระบบออนไลน์เดิม ที่มีในส่วนของการนัดหมายเข้ารับบริการและแจ้งสถานะของรถขณะกำลังเข้ารับบริการ ยิ่งไปกว่านั้นเรายังมีบริการผู้ช่วยส่วนตัวด้วยการส่งข้อความแจ้งเตือนเมื่อรถถึงระยะเข้ารับบริการหรือตรวจเช็กระบบต่าง ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่หรือระบบเบรก รวมถึงข้อเสนอพิเศษและกิจกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้นเพื่อมอบให้กับลูกค้ารถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยเฉพาะ และในส่วนผลิตภัณฑ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไหล่แท้ อะไหล่ StarParts หรือ REMAN สำหรับรถยนต์ที่หมดระยะรับประกัน ผลิตภัณฑ์ยางที่ได้รับการรับรองจาก Mercedes-Benz MO/MOE รวมถึงการบริการซ่อมสีและตัวถังตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และโปรแกรม MBSP แบบต่างๆ ที่ครอบคลุมทุกความต้องการตามการใช้งานของลูกค้า เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดและคงประสิทธิภาพสูงสุดตลอดการใช้งานรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ในประเทศไทย”
“แน่นอนว่าอีกหนึ่งความมุ่งมั่นของเรา คือการสร้างยอดขายที่เติบโตในประเทศไทย ในปีนี้
เราคาดหวังตัวเลขการเติบโตแบบ Double-Digit ผ่านการนำเสนอรถยนต์ทั้งหมด 8 รุ่นโดยหนึ่งในนั้นคือรถเอสยูวีไฟฟ้า EQB 250 AMG Line ที่เปิดตัวในวันนี้ ทั้งนี้เมอร์เซเดส–เบนซ์ จะมุ่งมั่นพัฒนายนตรกรรมที่เหนือระดับที่มาพร้อมการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้า สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย” มร. มาร์ทิน ชเวงค์ กล่าวสรุป
EQB 250 AMG Line
EQB 250 AMG Line ยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า 100% ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ รุ่นล่าสุดที่ผลิตและนำเข้า (CBU) มาวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทย มาพร้อมรูปแบบตัวถังแบบรถเอสยูวีที่ใช้แพลตฟอร์มเดียวกันกับ GLB โดย EQB ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า (FWD) ด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ PSM (Permanently Excited Synchronous Motor) ที่ให้พลังสูงสุด 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 385 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในระยะเวลา 8.9 วินาที
ในด้านของแหล่งพลังงาน รถยนต์คันนี้ใช้แบตเตอรี่ Lithium-ion แบบแรงดันสูง (High-Voltage)มีความจุแบตเตอรี่ 66.5 kWh สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุด 460 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP สำหรับการชาร์จไฟฟ้า EQB รองรับการชาร์จกระแสตรง DC สูงสุด 100 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 10-80% เพียง 32 นาที และรองรับการชาร์จกระแสสลับ AC สูงสุด 11 kW ใช้เวลาชาร์จจาก 0-100% ในระยะเวลา 6 ชั่วโมง 50 นาที โดยมาพร้อม Mercedes-Benz WallboxHome รุ่น 2.0 ที่มาพร้อมระบบป้องกันฝุ่นกันน้ำ ตามมาตรฐาน IP55/IK10 นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมการชาร์จไฟฟ้าและอัปเดตซอฟต์แวร์ได้แบบ OTA (over-the-air) ผ่านแอปพลิเคชัน Mercedes me
นอกจากความโดดเด่นของการเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่แบบไร้มลพิษ (Zero-emission) แล้ว EQB ยังมาพร้อมการดีไซน์ที่แฝงไปด้วยความหรูหราภายใต้แนวคิด “Progressive Luxury” ตามแบบฉบับของแบรนด์ Mercedes-EQ รวมถึงความสะดวกสบายที่มาจากมิติตัวถังขนาดใหญ่ด้วยความยาว 4,687 มม. ความกว้าง 2,020 มม. ความสูง 1,667 มม. และระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,829 มม. โดยในด้านของการออกแบบภายนอก EQB มีการตกแต่งรอบคันแบบ AMG bodystylingมาพร้อมกระจังหน้าแบบ Radiator grille พร้อมแถบคาดกระจังหน้าโครเมี่ยมแบบ Twin blade ที่ดีไซน์รับกับโลโก้ดาวสามแฉกของเมอร์เซเดส–เบนซ์ ได้อย่างลงตัวต่อเนื่องด้วยโคมไฟหน้าความละเอียดสูงแบบ LED High Performance ตกแต่งเส้นสายไฮไลท์สีฟ้าแสดงถึงการเป็นรถในตระกูล Mercedes-EQ และมีการติดตั้งระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist) พร้อมติดตั้งราวหลังคาอลูมิเนียมในสไตล์ของรถเอนกประสงค์ และล้ออัลลอยด์ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ Multi–spoke ขนาด 20 นิ้ว
ในด้านการออกแบบภายใน EQB 250 AMG Line มาพร้อมนวัตกรรมและความสะดวกสบายอย่างไร้ที่ติ สะท้อนความหรูหราและความสปอร์ตทั่วทั้งห้องโดยสารด้วยการดีไซน์แบบ AMG ตั้งแต่คอนโซลหน้าที่ตกแต่งแบบ Aluminium-look ไปจนถึงเบาะหนังสไตล์ AMG ที่หุ้มด้วยหนัง ARTICO ตัดสลับกับ MICROCUT microfibre สีดำ พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง Nappa และแป้นควบคุมการคืนพลังงานไฟฟ้า (Regenerate) แบบ Paddle shift ที่ทำจากวัสดุ Galvanished steel ในด้านของฟังก์ชั่นการใช้งานและความบันเทิง EQB มีระบบการแสดงผลและระบบควบคุมฟังก์ชั่นการใช้งานด้วยหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงแบบ All-digital instrument display ขนาด 10.25 นิ้ว และหน้าจอแสดงผลบริเวณคอนโซลกลางขนาด 10.25 นิ้วโดยมีการติดตั้งระบบอินโฟเทนเมนต์ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของรถเมอร์เซเดส–เบนซ์ อย่างระบบ MBUX6 ที่สามารถควบคุมฟังก์ชั่นการทำงานภายในรถได้อย่างง่ายดาย
อีกหนึ่งความโดดเด่นของ EQB คือความสะดวกสบายและความเอนกประสงค์ตามแบบฉบับรถเอสยูวี โดยมีความจุสัมภาระสูงสุด 1,710 ลิตร พร้อมติดตั้งฟังก์ชั่นที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารมากมาย ทั้งระบบปรับเบาะแบบไฟฟ้าที่มาพร้อมระบบหน่วยความจำแบบ memory seat ทั้งเบาะผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแยก 2 โซนแบบTHERMOTRONIC พร้อมการควบคุมระบบปรับอากาศผ่านสมาร์ทโฟน ระบบไฟ Ambient Light 64 เฉดสี ที่สร้างบรรยากาศให้กับห้องโดยสาร หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ เลื่อนเปิด – ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า (Electric Panoramic sliding roof) ระบบเปิด – ปิดฝากระโปรงท้ายอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้มือ (HANDS-FREE ACCESS) ระบบการเชื่อมต่อแบบ Smart Phone Integration ที่รองรับทั้งระบบ Apple CarPlayTM และ Android Auto รวมถึงการติดตั้งระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless charging system) สำหรับที่นั่งด้านหน้า
EQB 250 AMG Line มีการติดตั้งระบบความปลอดภัยที่เหนือระดับมากมาย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ขับขี่ในทุกเส้นทาง โดยนอกจากระบบความปลอดภัยมาตรฐานต่างๆ ของเมอร์เซเดส–เบนซ์แล้ว EQB ยังได้เสริมระบบความปลอดภัยขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist) ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ (Active Brake Assist) ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ พร้อมกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยจอด (Parking Package with reversing camera) ระบบรักษาระดับความเร็ว (CRUISE CONTROL) ระบบดูดซับแรงสั่นสะเทือน (Adjustable damping) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) ระบบแจ้งเตือนยานพาหนะขณะเปิดประตูรถ (Exit warning function) และระบบแสดงสถานะลมยางพร้อมระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง (Tyre pressure monitoring system) ฯลฯ
รุ่น |
มอเตอร์ไฟฟ้า |
ความจุแบตเตอรี่(kWh) |
แรงม้าสูงสุด |
แรงบิดสูงสุด (นิวตันเมตร) |
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. |
ความเร็วสูงสุด (กม. / ชม.) |
วิ่งได้สูงสุด(กม.) |
EQB 250 AMG Line |
มอเตอร์ไฟฟ้า |
66.5 |
190 |
385 |
8.9 |
160 |
460 (WLTP) |
EQB 250 AMG Line วางจำหน่ายในราคา 3,020,000 บาท